สำหรับบทความนี้ Admin ขอบอกว่าเหมาะกับผู้ที่คิดว่าตัวเองมีความเสี่ยงจะติดเชื้อ HIV และกำลังหาข้อมูลว่า ถ้ารับเชื้อมาแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในร่างกาย แล้วสัญญาณที่ว่ามีอะไรบ้างมาดูกันเลยค่ะ
แต่แป๊บนะคะ…… ก่อนเข้าเรื่องเราต้องรู้กันก่อนว่า
HIV หรือ Human Immunodeficiency Virus นั้นแปลให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันและเป้าหมายที่สำคัญของ HIV ก็คือการเข้าไปใน เซลล์ T helper หรือ เซลล์ CD4 เพื่อที่จะแบ่งตัวในนั้นแล้วกระจายตัวออกมาไปหาเซลล์ CD4 ตัวอื่นๆ ต่อไปต่อไป และเมื่อเซลล์ CD4 ลดต่ำลงก็ จะทำให้เราติดเชื้อโรคหรือ เป็นโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้นนั่นเองคะ เอาละ…. ทีนี้สมมุติว่าเราโชคร้าย ไปติดเชื้อมาแล้วจะเกิดสัญญาณ อะไรขึ้นบ้าง ที่พอจะทำให้ “เดา” ได้ว่าเราติดเชื้อ HIV แล้ว (แอดย้ำนะคะว่าเดา)
1. ช่วงสัปดาห์แรก
ในช่วงนี้ผู้ติดเชื้อแทบจะไม่รู้สึกอะไร เพราะเชื้อ HIV อยู่ในระยะฟักตัว ดังนั้นแอดขอนะคะอย่าใช้วิธี ไปบริจาคเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อ เพราะในช่วงนี้อาจตรวจหาเชื้อไม่พบ เพราะเชื้อมีปริมาณน้อย และที่สำคัญ เราอาจทำบาปเพราะคนที่รับเลือด ของเราไปหลังจากนี้อาจติดเชื้อ จากเราไปก็เป็นได้ ตกนรกแบบไม่รู้ตัวนะเออ
2. ระหว่าง 2-4 สัปดาห์
หลังจากรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ จะมีอาการ คล้ายไข้หวัดใหญ่ มีไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดหัว ปวดท้อง อาจมีอาการท้อง เสียร่วมด้วย และในบางรายอาจมีผื่นขึ้น ซึ่งเป็นอาการที่เกิดจากร่างกาย ตอบสนองในการติดเชื้อเอชไอวี ช่วงนี้แหละที่เราแพร่เชื้อ HIV ไปหาคนอื่นได้ง่ายมากๆๆ
แต่เดี๋ยวก่อนถึงแม้ว่าเราไปเสี่ยงมา และมีอาการแบบข้อ 2 ครบทุกข้อ ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะติดเชื้อ HIV 100% เพราะการจะรู้ว่าตัวเอง ติดเชื้อหรือไม่นั้นต้องใช้วิธีการ “ตรวจเลือดเท่านั้น” เพราะว่าพอเวลา เรากังวลมากๆ แล้วอ่านข้อมูลเยอะๆ ก็อาจจะทำให้ร่างกายเกิดอาการต่างๆ ไปเองได้เช่นกัน ดังนั้นแล้ว การที่จะรู้ว่าตัวเองติดเชื้อหรือ ไม่คือต้องกล้าที่จะไปตรวจ เผื่อว่าเป็นจะได้รับยาได้ทัน หรือหาอะไรก็ตามที่จะช่วยทำให้ CD4 เพิ่มขึ้นอยู่เสมอ
เพื่อที่จะไม่ให้เรากลายเป็นผู้ป่วย AIDS ไปในที่สุดคะ ส่วนสัญญาณของผู้ป่วย AIDS ระยะสุดท้ายจะมีอาการอะไรบ้าง ก็ขอให้ติดตามอ่านข้อมูลในเพจ Learn HIV https://www.facebook.com/LEARNeHIV ของเราต่อไปนะคะแล้วพบกันใหม่คะ