HIV / เอดส์
อยู่ในภาวะสงบได้
เกี่ยวกับ APCO(ลีฟ แคปซูล – Liv capsule)
เป็นชื่อที่นักวิจัยใช้เรียกสูตรที่เกิดขึ้นจากงานวิจัยของคณะนักวิจัย APCO ที่ทำงานวิจัยอย่างต่อเนื่องกว่า30ปี และได้ค้นพบว่า การสร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุลเป็นมิติใหม่ของการดูแลสุขภาพ จึงได้ผลิตสูตรสารสกัดจากธรรมชาติสำหรับการแก้ไขปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นจากภูมิคุ้มกันที่ไม่สมดุลรวมทั้งผู้ที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ (มังคุด,งาดำ,ถั่วเหลือง,ฝรั่ง และ ใบบัวบก)
“สรุปผลการวิจัย APCO(ลีฟ แคปซูล – Liv capsule)”
การทดสอบสูตรของนักวิจัย Operation BIM 4 แคปซูล/วัน ในกลุ่มผู้ติดเชื้อ HIV 29 ราย ที่ใช้ยาต้านไวรัสที่โรงพยาบาลแม่ออน พบว่าผู้ติดเชื้อมีสุขภาพดีขึ้นทุกราย มี CD4 เพิ่มขึ้นในเวลา 3 เดือน ในกลุ่มผู้ติดเชื้อที่สารภีและที่ดอยสะเก็ด 22 ราย มี CD4 เพิ่มขึ้นทุกคนในเวลา 3 เดือน ในรายที่ติดเชื้อวัณโรคและปอดบวมอาการหายไปในเวลาที่รวดเร็ว ในกลุ่มเด็กติดเชื้อที่บ้านแกร์ด้า จ.ลพบุรี ที่ใช้ยาต้านอยู่แล้ว 70 ราย ทุกรายมี CD4 เพิ่มขึ้น อาการของโรคแทรกซ้อน เช่น ติดเชื้อรา แบคทีเรียหายไป รายที่เป็นมะเร็งตับก็มีคุณภาพชีวิตปกติมาต่อเนื่องเป็นเวลา 4 ปีแล้ว ประสิทธิภาพในการเพิ่มคุณภาพชีวิตของสูตรของนักวิจัย Operation BIM เกิดจากการกระตุ้นเม็ดเลือดขาว Th1, และ Th17 ซึ่งต่างก็คือ CD4 แล้ว CD4 ที่เพิ่มขึ้นไปเพิ่มอานุภาพของเซลล์ T พิฆาต ในการกำจัดเซลล์ที่ติดเชื้อ HIV ผลรวมคือ CD4 เพิ่มขึ้น และจำนวน HIV ลดลง ซึ่งวิธีการกระตุ้นภูมิคุ้มกันนี้ เป็นวิธี ภูมิคุ้มกันบำบัด HIV ด้วยพืชกินได้ ของ APCO
อาสาสมัครรายแรก “HIV” สงบแล้ว
ปัจจุบันคณะนักวิจัยได้ปรับลดปริมาณ APCO(ลีฟ แคปซูล – Liv capsule) จาก 9 แคปซูล/วัน เหลือ 4 แคปซูล/วัน โดยผลการตรวจเลือดตั้งแต่ครั้งที่ 6พบว่า ยังตรวจไม่พบเชื้อ HIV อยู่เช่นเดิม และผลการตรวจเลือดปัจจุบันซึ่งครั้งที่ 10 ยังยืนยันว่า HIV อยู่ในภาวะสงบ หรือ HIV หมดฤทธิ์ ข้อมูลมีดังนี้
*หมายเหตุ ค่า CD4 ที่ต่างกันขึ้นอยู่กับมาตรฐานการตรวจของแต่ละแลบ
- ก่อนเข้าโครงการมี CD4 734 cell/cu.mm. และ HIV 88.2 copies/ml (กุมภาพันธ์ 2560)
- ใช้ APCO(ลีฟ แคปซูล – Liv capsule) 9 capsules/วัน (2 เดือน) ตรวจครั้งที่ 1: 14 ก.พ. 62 = CD4 1,016 cell/cu.mm. และ HIV ตรวจไม่พบ
- ใช้ APCO(ลีฟ แคปซูล – Liv capsule) 9 capsules/วัน (3 เดือน) ตรวจครั้งที่ 2: 16 มี.ค. 62 = CD4 1,122 cell/cu.mm. และ HIV ตรวจไม่พบ
- ใช้ APCO(ลีฟ แคปซูล – Liv capsule) 9 capsules/วัน (4 เดือน) ตรวจครั้งที่ 3: 10 เม.ย. 62 = CD4 1,336 cell/cu.mm. และ HIV ตรวจไม่พบ
- ใช้ APCO(ลีฟ แคปซูล – Liv capsule) 9 capsules/วัน (5 เดือน ตรวจผลโดยคลีนิคนิรนามสภากาชาดไทย) ตรวจครั้งที่ 4: 8 พ.ค. 62 = CD4 644* cell/cu.mm. และ HIV ตรวจไม่พบ (น้อยกว่า 40 Copies/ml)
- ใช้ APCO(ลีฟ แคปซูล – Liv capsule) 9 capsules/วัน (5 เดือน ตรวจผลโดยสถาบันบำราศนราดูร) ตรวจครั้งที่ 5: 16 พ.ค. 62 = CD4 675* cell/cu.mm. และ HIV ตรวจไม่พบ (น้อยกว่า 20 Copies/mL)
- ลด APCO(ลีฟ แคปซูล – Liv capsule) เหลือ 4 capsules/วัน ได้ 1 เดือน (ผลตรวจโดยกรุงเทพพยาธิแลป) ตรวจครั้งที่ 6: 27 มิ.ย. 62 = CD4 1,178* cell/cu.mm. และ HIV ตรวจไม่พบ ND (น้อยกว่า 20 Copies/mL)
- ลด APCO(ลีฟ แคปซูล – Liv capsule) เหลือ 4 capsules/วัน ได้ 2 เดือน (ผลตรวจโดยกรุงเทพพยาธิแลป) ตรวจครั้งที่ 7: 25 ก.ค. 62 = CD4 1,066* cell/cu.mm. และ HIV ตรวจไม่พบ ND (น้อยกว่า 20 Copies/mL)
- ลด APCO(ลีฟ แคปซูล – Liv capsule) เหลือ 4 capsules/วัน ได้ 3 เดือน (ผลตรวจโดยกรุงเทพพยาธิแลป) ตรวจครั้งที่ 8: 29 ส.ค. 62 = CD4 1,708* cell/cu.mm. และ HIV ตรวจไม่พบ ND (น้อยกว่า 20 Copies/mL)
- ลด APCO(ลีฟ แคปซูล – Liv capsule) เหลือ 4 capsules/วัน ได้ 4 เดือน (ผลตรวจโดยกรุงเทพพยาธิแลป) ตรวจครั้งที่ 9: 26 ก.ย. 62 = CD4 910* cell/cu.mm. และ HIV ตรวจไม่พบ ND (น้อยกว่า 20 Copies/mL)
- ลด APCO(ลีฟ แคปซูล – Liv capsule) เหลือ 4 capsules/วัน ได้ 5 เดือน (ตรวจผลโดยคลีนิคนิรนามสภากาชาดไทย) ตรวจครั้งที่ 10: 24 ต.ค. 62 = CD4 803* cell/cu.mm. และ HIV ตรวจไม่พบ ND (น้อยกว่า 20 Copies/mL)
นวัตกรรมนี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่ม CD4 เพื่อหยุดการเกิดโรคฉวยโอกาส
และเหมาะกับผู้ติดเชื้อใหม่ที่ต้องการเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย
ผู้ที่ใช้นวัตกรรม 3 ราย ที่กำลังจะเสียชีวิต สามารถกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเหมือนคนปกติ ด้วยการใช้นวัตกรรม APCO 9 แคปซูล/วัน ในเวลาเพียง 6 เดือน
ข้อมูลของโครงการทดสอบเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ที่มี CD4 ต่ำ
กว่า 200 CELLS/CU.MM. ให้เพิ่มขึ้นใน 1 เดือน
นวัตกรรม APCO(ลีฟ แคปซูล – Liv capsule) ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อฉวยโอกาสได้ใน 1 เดือน
ช่วยให้ผู้ติดเชื้อ HIV ไม่กลายเป็นผู้ป่วย AIDS
ข้อมูลจากโครงการทดสอบในอาสาสมัครเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ที่มี CD4 ต่ำกว่า 200 cells/cu.mm. ให้เพิ่มขึ้นใน 1 เดือน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อฉวยโอกาส โดยการให้ใช้นวัตกรรม APCO(ลีฟ แคปซูล – Liv capsule) พบว่าอาสาสมัครทุกรายมี CD4 เพิ่มสูงกว่า 200 cells/cu.mm. ได้ทุกราย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาสได้
ทำอย่างไรจึงจะทำให้ CD4 เพิ่มขึ้น
CD4 คืออะไร และวิธีเพิ่ม CD4 ทำได้อย่างไร
CD4 คือ เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่มีหน้าที่ควบคุมและต่อสู้กับเชื้อโรค และมีบทบาทในการสร้างสารภูมิคุ้มกันให้ร่างกายเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค เมื่อใดที่เชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกายจะเจาะเข้าไปในเซลล์ CD4 แล้วก๊อปปี้ตัวเองขึ้นมาใหม่ภายใน CD4 นั้น เมื่อถึงเวลากองทัพ HIV ที่อยู่ใน CD4 จะถูกปล่อยออกมาจากพร้อมๆกัน การแบ่งตัวแบบทวีคูณนี้ทำให้เอชไอวีสามารถรวมตัวกันทำร้าย CD4 เซลล์อื่น ๆ ที่ยังแข็งแรงได้อย่างรวดเร็ว และทำให้ผู้ป่วย HIV พัฒนาเป็นผู้ป่วย AIDS ในที่สุด
จากการศึกษาเมื่อปี 2010-2013 พบว่าเชื้อ HIV ทำลายเซลล์ CD4 โดยเฉพาะตัว Th17 มากที่สุด คณะนักวิจัย Operation BIM พบว่านวัตกรรม APCO กระตุ้นเม็ดเลือดขาว Th17 ได้ 500% ในระยะเวลาเพียง 15 วัน และข้อมูลงานวิจัยในต่างประเทศยืนยันว่าการเพิ่มขึ้นของ Th17 สามารถควบคุมการแพร่ของ HIV ได้
ทำอย่างไรจึงจะทำให้ CD4 เพิ่มขึ้น
ตามที่ทราบกันดีว่าเมื่อเชื้อ HIV เข้าไปในร่างกายจะเจาะเข้าไปใน CD4 โดยมุ่งไปสู่ CD4 ชนิด Th17 มากที่สุด และจากข้อแนะนำของ WHO ที่ว่า การเพิ่มขึ้นของ CD4 สำคัญต่อการดำรงชีวิตของผู้ติดเชื้อมากกว่าการลดลงของจำนวน HIV และเป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่าการพักผ่อนให้เพียงพอ การทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่ และการออกกำลังกายสามารถเพิ่ม CD4 ได้ แต่ถ้าทำแล้ว CD4 ไม่เพิ่ม จะทำอย่างไร
คณะนักวิจัย Operation BIM พบว่าสารสกัดจากมังคุด และพืชอีก 4 ชนิด สามารถกระตุ้น CD4 ได้ โดยผลการทดสอบที่ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีชีวการแพทย์ ม.เชียงใหม่ แสดงว่านวัตกรรม APCO(ลีฟ แคปซูล – Liv capsule) 4แคปซูล/วัน ในวันที่ 15 นอกจากจะกระตุ้น CD4 ชนิด Th17 ได้ถึง 5เท่าแล้ว ยังสามารถกระตุ้น CD4 ชนิด Th1 = 2 เท่า หมายความว่านวัตกรรม APCO(ลีฟ แคปซูล – Liv capsule) กระตุ้นให้ CD4 เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เมื่อ CD4 ไม่ลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้นก็จะไปเพิ่มอานุภาพ ของเซลล์ T พิฆาตในการกำจัดเชื้อ HIV ทำให้จำนวนเชื้อ HIV ลดลงอย่างต่อเนื่อง นี่คือสาเหตุทีทำให้ผู้ใช้ APCO(ลีฟ แคปซูล – Liv capsule) อย่างต่อเนื่องสามารถเพิ่ม CD4 ถึง 4,323% 5,511% และ 7,433% ในระยะเวลา 6 เดือน และนี่คือสถิติที่รวดเร็วที่สุดที่เคยมีการบันทึกไว้
การบรรยายพิเศษ เรื่อง “นวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัด HIV/AIDS และมะเร็งด้วยสารสกัดจากพืชกินได้” ในการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 44 ( วทท44 ) โดยสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา วันที่ 29 ตุลาคม 2561
บรรยาย โดย ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะนักวิจัย Operation BIM รายละเอียดสำคัญคือการกระตุ้น เซลล์ T พิฆาต ( killer T cell ) ให้มีความสามารถในการกำจัด HIV/AIDS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้มีปัญหา HIV/AIDS ด้วยการใช้สารสกัดจากพืช 5 ชนิด คือ มังคุด งาดำ ถั่วเหลือง ฝรั่ง และบัวบก
ผู้ติดเชื้อ HIV ไม่ใช่ผู้ป่วย AIDS ความแตกต่างของผู้ติดเชื้อ HIV และผู้ป่วย AIDS เป็นอย่างไร
เชื้อ HIV (เอชไอวี) หรือ Human Immunodeficiency เป็นเชื้อไวรัส ผู้ที่รับเชื้อ HIV หลังรับเชื้อ 2-4 สัปดาห์ ร่างกายอาจมีอาการคล้ายไข้หวัด เจ็บคอ ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองโต ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อ และมักไม่แสดงอาการใดๆ โดยในระยะนี้ไวรัสจะเข้าไปใน “CD4” และทำให้เซลล์เหล่านี้ตายเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ “CD4” ในเลือดลดจำนวนลง เชื้อไวรัสจะแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่สร้างแอนติบอดีในเลือดซึ่งใช้ในการวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ โดยผู้ที่อยู่ในระยะนี้ เรียกว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งถือเป็นระยะติดเชื้อปฐมภูมิ หรือระยะที่ 1
ระยะติดเชื้อเรื้อรัง (ระยะที่ 2) ผู้ติดเชื้ออาจจะมีเชื้อราขึ้นที่ลิ้น หรือเป็น วัณโรค เริม หรือโรคงูสวัด เกิดขึ้นได้ อาการมักไม่รุนแรง และมักจะรักษาโรคเหล่านี้ได้ ระยะนี้ของโรคก็ยังไม่เรียกโรคเอดส์ เช่นกัน ระยะนี้ เชื้อไวรัสจะเข้าไปอยู่ในต่อมน้ำเหลืองและในม้าม และจะแบ่งตัวเพิ่มปริมาณในอวัยวะทั้งสองนี้เป็นส่วนใหญ่ ปริมาณของ CD4 ในเลือดจะลดจำนวนลงอย่างช้าๆ จากงานวิจัยพบว่าเชื้อ HIV ทำลายเซลล์ CD4 โดยเฉพาะตัว Th17 มากที่สุด ด้วยเหตุนี้ระบบภูมิคุ้มกันโรคของร่างกาย จะไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัส และเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพนัก เพราะ CD4 จะลดจำนวนลงเรื่อยๆ การได้รับยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอและการออกกำลังกายจะเพิ่ม CD4 ได้ด้วยตัวเอง โดยควรพยายามให้ CD4 อยู่ในระดับสูงกว่า 350 cell/cu.mm ค่า CD4 ปกติของคนทั่วไป = 530-1350 cell/cu.mm
ระยะที่เป็นโรคเอดส์ (ระยะที่ 3) พบว่าปริมาณของ CD4 ส่วนใหญ่ต่ำกว่า 200 cell/cu.mm และจะมีการติดเชื้อฉวยโอกาส ในอวัยวะสำคัญอย่างรุนแรง เช่น ปอด สมอง และมีมะเร็งชนิดต่างๆ เกิดขึ้นได้ ระยะนี้เป็นระยะที่ระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายถูกทำลายเกือบทั้งหมด จะเกิดตุ่ม PPE / ผื่น PPE หรือที่เรียกว่าตุ่มเอดส์ หรือตุ่ม HIV ซึ่งแสดงว่าระดับ CD4 ต่ำกว่า 100 cell/ml หรือ CD4 % ต่ำกว่า 5% และการเพิ่ม CD4 ด้วยตนเอง เป็นไปได้ยากขึ้น ดังนั้นผู้ติดเชื้อควรรักษาสุขภาพและระดับ CD 4 ไว้ไม่ให้ก้าวมาสู่ในระยะนี้
สรุป ก็คือระยะที่ 1 และ 2 ของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี
ยังไม่เรียกว่าเป็นโรคเอดส์ ทางการแพทย์จะเรียกระยะที่ 3 ของโรคว่าเป็นโรคเอดส์เท่านั้น
สาระประโยชน์
นักวิจัยไทยประกาศ “นวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัด HIV/AIDS และมะเร็งด้วยสารสกัดจากพืชกินได้” ออกอากาศทางช่อง TNN24
นักวิจัยไทยประกาศผลงานวิจัยที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้มีปัญหา HIV/AIDS และมะเร็ง มาแล้วกว่าพันราย ในงาน วทท. ครั้งที่ 44 ในหัวข้อ “นวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัด HIV/AIDS และมะเร็งด้วยสารสกัดจากพืชกินได้” ออกอากาศทาง Thairath TV ช่อง 32 วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 เวลา 17.30 น.
งานวิจัยและพัฒนา
ภูมิคุ้มกันบำบัดสำหรับทั้ง AIDS และมะเร็ง คนไทยทำได้มา 10 ปีแล้ว. เนื้อหาส่วนหนึ่งของการบรรยายพิเศษ เรื่อง “นวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัด HIV/AIDS และมะเร็งด้วยสารสกัดจากพืชกินได้” ในการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 44 ( วทท44 ) โดย ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะนักวิจัย Operation BIM. โดย ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะนักวิจัย Operation BIM. ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา วันที่ 29 ตุลาคม 2561
สถานการณ์เอดส์ในปัจจุบัน
การแพร่ระบาดที่เพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อ HIV ในประเทศไทยน่ากลัวแค่ไหน (เดิม คนติดเชื้อในประเทศไทยกี่คน สถิติ)
HIV/AIDS โรคที่ใครก็รู้ว่าหากติดเชื้อคือ ต้อง “เสียชีวิต” เท่านั้น ข้อมูลจากแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ฯ รายงานว่าเมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2558 ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ผู้ติดเชื้อที่มีชีวิตอยู่ทั้งหมด 437,700 คน แยกเป็นเพศหญิง 181,600 คน เพศชาย 256,100 คน เอชไอวี เอด
ข้อมูลของศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย รายงานเมื่อสิ้นปี 2559 ระบุว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ 6,200 คน เฉลี่ยวันละ 17 ตลอดทั้งปีมีผู้ติดเชื้อเสียชีวิตกว่า 15,000 คน และจากข้อมูลการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาบ่งชี้ว่าในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ที่เข้ารับบริการฝากครรภ์ และกลุ่มทหารเกณฑ์คัดเลือกใหม่เข้าประจำการ อายุ 20-24 ปี กลับมีแนวโน้มติดเชื้อสูงขึ้น สอดคล้องกับพฤติกรรมเสี่ยงของกลุ่มเยาวชนที่มีคู่เพศสัมพันธ์หลายคนและไม่ป้องกัน เพราะคิดว่าตัวเองจะไม่ติดเชื้อจึงทำให้มีโอกาสแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
วิธีการรักษาในปัจจุบัน
ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาการติดเชื้อ HIV ให้หายขาด แต่หากรู้ว่าติดเชื้อแล้วตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้น้อยลง เนื่องจากผู้ป่วยจะได้ทำการรักษาด้วยยาต้านไวรัสที่ถูกวิธีส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น แม้ยาต้านจะมีผลข้างเคียงอยู่บ้าง และปัจุบันก็สามารถขอทำการตรวจเลือดหาเชื้อได้ฟรีได้ทีสถานพยาบาลที่ตนมีสิทธิ์อยู่
ประสบการณ์ผู้ใช้
ถ้าเป็นแล้ว WHO แนะนำให้ปฎิบัติตัวอย่างไร
องค์การอนามัยโลกแนะนำว่า ผู้ติดเชื้อ HIV ควรจะเริ่มการรักษาทันทีเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่ามีจำนวน CD4 และจำนวน HIV เท่าไร ในวารสาร Journal of Antimicrobial Chemotherapy ได้รวบรวมข้อมูลจากผู้ติดเชื้อ 17,000 คน และติดตามอาการ 2,300 คน ต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี แล้วสรุปว่า
– 78% ของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษา แต่ไม่สามารถเพิ่มจำนวน CD4 หรือ ลดจำนวน HIV อาการจะรุนแรงจนเป็น AIDS และเสียชีวิตในที่สุด
– 35% ของผู้ป่วยที่มีจำนวน HIV ลดลงถึงระดับที่ตรวจไม่พบ แต่จำนวน CD4 ไม่เพิ่ม ก็จะมีโอกาสป่วย และเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวกับ AIDS
– 18% ของผู้ป่วยที่ไม่สามารถลดจำนวน HIV แต่สามารถเพิ่มจำนวน CD4 เหนือระดับ 200 จะมีปัญหาสุขภาพโดยไม่เสียชีวิต
“สรุปว่า”
การเพิ่มขึ้นของ CD4 สำคัญต่อการดำรงชีวิตของผู้ติดเชื้อมากกว่าการลดลงของจำนวน HIV